25 DEC 2024 บทความผลิตภัณฑ์ 4 นาทีในการอ่าน

Red Light Therapy คืออะไร? ลดริ้วรอย กระชับผิว ด้วยแสงสีแดง

Key Takeaway

  • Red Light Therapy (RLT) เป็นการบำบัดด้วยแสงสีแดงที่มีคุณสมบัติกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนและอิลาสติน โดยทำงานผ่านการกระตุ้นไมโทคอนเดรียในเซลล์ ช่วยให้เซลล์ผิวทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น ทั้งการซ่อมแซมและสร้างเซลล์ใหม่
  • นอกจากแสงสีแดงแล้ว ยังมีแสง LED สีอื่นที่มีประโยชน์เฉพาะด้าน เช่น แสงสีฟ้าช่วยรักษาสิว แสงสีเขียวช่วยลดรอยดำ และแสงสีเหลืองช่วยลดฝ้ากระ
  • Red Light Therapy สามารถช่วยแก้ปัญหาผิวได้หลากหลาย ทั้งการสมานแผล ลดริ้วรอย ปรับปรุงสภาพผิว รักษาโรคผิวหนัง ฟื้นฟูผิวเสีย แก้ปัญหาผมร่วง และรักษาสิว
  • Red Light Therapy ถือเป็นวิธีการรักษาที่ปลอดภัย ไม่เจ็บ ไม่ต้องพักฟื้น และสามารถทำได้ที่บ้าน แต่ควรระมัดระวังในการใช้สำหรับผู้ที่ตั้งครรภ์หรือมีปัญหาสุขภาพบางประการ ควรปรึกษาแพทย์ก่อนใช้งาน

Red Light Therapy คือแสงสีแดงความยาวคลื่นต่ำกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน ฟื้นฟูเซลล์ผิว ช่วยลดเลือนริ้วรอย รอยแผลเป็น สิว อีกทางเลือกในการทำให้ผิวกระชับดูอ่อนเยาว์ลง

Red Light Therapy คืออะไร?

Red Light Therapy (RLT) คือการบำบัดด้วยแสงสีแดง เป็นเทคนิคการรักษาที่ใช้แสงสีแดงในระดับความยาวคลื่นต่ำส่องลงบนผิวหนัง1 ซึ่ง Red Light Therapy มีคุณสมบัติที่จะช่วยกระตุ้นให้ผิวสร้างคอลลาเจนและอิลาสตินเพิ่มขึ้น ทำให้ริ้วรอยดูจางลง รู้สึกถึงผิวอิ่มฟู เรียบเนียน แถมยังลดการอักเสบของผิวอีกด้วย เหมาะสำหรับคนที่ต้องการฟื้นฟูผิวให้ดูอ่อนเยาว์ สุขภาพดีขึ้น และลดปัญหาสิว2

การทำงานของ Red Light Therapy

การทำงานของ Red Light Therapy

Red Light Therapy จะไปกระตุ้นไมโทคอนเดรีย (Mitochondria) ซึ่งเป็นส่วนประกอบภายในเซลล์ที่ทำหน้าที่ผลิตพลังงาน เปรียบเสมือน “โรงไฟฟ้า” ของเซลล์ เมื่อไมโทคอนเดรียได้รับพลังงานมากขึ้น เซลล์ต่างๆ ก็จะสามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น เช่น การซ่อมแซมตัวเอง การสร้างเซลล์ใหม่ และการฟื้นฟูสภาพ เป็นต้น 

โดย Red Light Therapy มีกระบวนการทำงาน ดังนี้

  1. กระตุ้นการสร้างคอลลาเจน แสงสีแดงจะส่งผลให้เซลล์ผิวสร้างคอลลาเจนเพิ่มขึ้น คอลลาเจนเป็นโปรตีนที่สำคัญในการให้โครงสร้างและความยืดหยุ่นแก่ผิว ช่วยลดเลือนริ้วรอยและทำให้ผิวดูอ่อนเยาว์
  2. เพิ่มการผลิตไฟโบรบลาสต์ ไฟโบรบลาสต์เป็นเซลล์ที่สร้างคอลลาเจนและอิลาสติน เมื่อได้รับแสงสีแดง ไฟโบรบลาสต์จะทำงานได้ดีขึ้น ทำให้ผิวมีความแข็งแรงและยืดหยุ่นมากขึ้น
  3. เพิ่มการไหลเวียนโลหิต แสงสีแดงช่วยเพิ่มการไหลเวียนโลหิตไปยังบริเวณที่ได้รับการบำบัด ทำให้เซลล์ได้รับออกซิเจนและสารอาหารมากขึ้น ส่งผลให้การซ่อมแซมตัวเองและการสร้างเซลล์ใหม่เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ
  4. ลดการอักเสบ แสงสีแดงมีคุณสมบัติในการลดการอักเสบของเซลล์ ซึ่งเป็นสาเหตุหนึ่งของการเกิดริ้วรอยและความเสื่อมของผิว ช่วยให้ผิวดูเรียบเนียนและลดการระคายเคือง1

ประโยชน์ของ Light Therapy สีอื่น ๆ

Red Light Therapy เป็นที่รู้จักกันดีในเรื่องความโดดเด่นและการนำไปใช้งานที่หลากหลาย แต่รู้หรือไม่? ว่าแสง LED ยังมีอีกหลากหลายสีที่ให้ความแตกต่างและมีประโยชน์เฉพาะตัว นอกจากสีแดงแล้ว2 ยังมีสีอื่นๆ ที่นิยมนำมาใช้กันบ่อยๆ ดังนี้

แสงสีฟ้า (Blue Light Therapy) 

Blue Light Therapy เป็นตัวช่วยลดปัญหาสิวที่น่าสนใจ โดยเฉพาะสิวอักเสบเรื้อรังหรือสิวที่ดื้อยา เพราะแสงสีฟ้าจะเข้าไปกำจัดเชื้อแบคทีเรีย P. Acne ต้นเหตุของสิวโดยตรง ทำให้สิวยุบลงและลดการอักเสบได้อย่างมีประสิทธิภาพ เหมาะสำหรับผู้ที่กังวลเรื่องผลข้างเคียงจากยาและต้องการทางเลือกในการรักษาที่อ่อนโยนต่อผิว

แสงสีเขียว (Green Light Therapy)

Green Light Therapy เป็นตัวช่วยลดเลือนรอยดำได้อย่างมีประสิทธิภาพ มีการทำงานโดยการยับยั้งการสร้างเม็ดสีเมลานินที่เป็นสาเหตุของรอยดำ จึงช่วยให้ผิวดูสว่างใสขึ้น นอกจากนี้ยังช่วยลดอาการระคายเคืองและการอักเสบของผิว เหมาะสำหรับผู้ที่มีปัญหาเรื่องรอยดำ รอยแดง หรือรอยแผลเป็น

แสงสีเหลือง (Yellow Light Therapy) 

Yellow Light Therapy เป็นตัวช่วยลดเลือนฝ้า กระ และจุดด่างดำได้ มีการทำงานโดยการยับยั้งการสร้างเม็ดสีเมลานินที่เป็นสาเหตุของฝ้า กระ จึงช่วยให้ผิวดูสว่างใสขึ้น นอกจากนี้ยังช่วยลดปัญหาเส้นเลือดฝอยแตก และกระตุ้นการทำงานของระบบไหลเวียนโลหิต ทำให้ผิวดูสุขภาพดีขึ้น เหมาะสำหรับผู้ที่มีปัญหาฝ้า กระ และต้องการผิวที่กระจ่างใส

Red Light Therapy ช่วยเรื่องผิวได้อย่างไร

Red Light Therapy ช่วยเรื่องผิวได้อย่างไร

แสงสีแดงช่วยอะไร? Red Light Therapy กำลังได้รับความนิยมอย่างมากในการดูแลผิวและรักษาปัญหาผิวต่างๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในด้านต่อไปนี้1

  • การสมานแผล ช่วยให้แผลหายเร็วขึ้น ลดรอยแผลเป็น
  • ลดเลือนริ้วรอย ช่วยให้ผิวดูอ่อนเยาว์ ลดเลือนริ้วรอย หรือรอยเส้นเล็กๆ และจุดด่างดำ
  • ปรับปรุงสภาพผิว ช่วยให้ผิวเนียนนุ่ม กระชับ รูขุมขนเล็กลง
  • รักษาโรคผิวหนัง ช่วยบรรเทาอาการของโรคผิวหนัง เช่น โรคสะเก็ดเงิน โรคผิวหนังอักเสบ
  • ฟื้นฟูผิวเสีย ช่วยฟื้นฟูผิวที่ถูกทำลายจากแสงแดด มลภาวะ หรือการรักษาอื่นๆ
  • รักษาสิว ช่วยลดการอักเสบของสิว และป้องกันการเกิดสิวซ้ำ

นอกจากนี้ Red Light Therapy ยังใช้รักษาอาการปวดและอักเสบได้ แต่ยังไม่มีวิจัยที่รับรองการรักษาสำหรับโรคบางชนิด เช่น มะเร็งหรือโรคซึมเศร้า ก่อนใช้จึงควรปรึกษาแพทย์ก่อน เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีและปลอดภัยที่สุด เนื่องจากการบำบัดด้วยแสงสีแดงอาจมีผลข้างเคียงที่แตกต่างกันไปในแต่ละบุคคล

ข้อดีของ Red Light Therapy 

ข้อดีที่ทำให้ Red Light Therapy ได้รับความนิยมอย่างรวดเร็ว3 มีดังนี้

  • ไม่เจ็บ การบำบัดนี้ไม่ก่อให้เกิดความเจ็บปวดใดๆ ทำให้เหมาะสำหรับผู้ที่กลัวความเจ็บ
  • ปลอดภัยต่อผิว ไม่ทำให้ผิวเสียหายหรือระคายเคือง เหมาะสำหรับผู้ที่มีผิวบอบบางหรือแพ้ง่าย
  • ไม่ต้องพักฟื้น หลังการบำบัดสามารถทำกิจกรรมต่างๆ ได้ทันที ไม่จำเป็นต้องหยุดพักหรือหลีกเลี่ยงการออกแดด
  • สะดวกสบาย มีอุปกรณ์ที่ใช้ได้ที่บ้าน เช่น แท่งไฟหรือหน้ากาก ทำให้สามารถดูแลผิวได้ด้วยตัวเอง

ข้อควรระวังในการใช้ Red Light Therapy

Red Light Therapy เป็นที่นิยมใช้ในการรักษาและฟื้นฟูร่างกาย แต่ก็มีความกังวลเกี่ยวกับความปลอดภัย โดยทั่วไปแล้ว การบำบัดด้วยแสงสีแดงถือว่าปลอดภัยเมื่อใช้ในปริมาณที่เหมาะสมและถูกวิธี แต่หากใช้แสงในระดับสูง หรือการใช้งานที่ไม่ถูกต้อง อาจก่อให้เกิดผลข้างเคียงได้  นอกจากนี้ การใช้ Red Light Therapy ในระหว่างตั้งครรภ์ยังคงเป็นเรื่องที่ต้องศึกษาเพิ่มเติม เนื่องจากปัจจุบันยังมีข้อมูลวิจัยในด้านนี้อย่างจำกัด 

อย่างไรก็ตาม จากการศึกษาเบื้องต้นในกลุ่มหญิงตั้งครรภ์จำนวน 380 รายที่ได้รับการบำบัดด้วยแสงเลเซอร์ พบว่า การบำบัดด้วยแสงสีแดงไม่ได้แสดงให้เห็นถึงผลข้างเคียงที่เป็นอันตรายต่อทั้งคุณแม่และทารกในครรภ์4

สรุป

Red Light Therapy เป็นการบำบัดด้วยแสงสีแดงในคลื่นความถี่ต่ำที่ส่องลงบนผิวหนัง โดยแสงจะไปกระตุ้นการทำงานของเซลล์ผิว ทำให้เกิดการสร้างคอลลาเจนและอิลาสตินเพิ่มขึ้น พร้อมทั้งช่วยเพิ่มการไหลเวียนเลือดและลดการอักเสบของผิว จึงเหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการลดเลือนริ้วรอยและฟื้นฟูผิวให้ดูอ่อนเยาว์ ข้อดีคือเป็นวิธีที่ไม่เจ็บ ไม่ต้องพักฟื้น และสามารถทำได้เองที่บ้าน 

อย่างไรก็ตาม ควรใช้ในปริมาณที่เหมาะสมและถูกวิธี และควรปรึกษาแพทย์ก่อนใช้ โดยเฉพาะในผู้ที่มีโรคประจำตัวหรือกำลังตั้งครรภ์ เนื่องจากยังต้องการการศึกษาเพิ่มเติมถึงผลข้างเคียงในระยะยาว

References

  1. Medically. Red Light Therapy. my.clevelandclinic.org. Published 12 January 2021. Retrieved 9 December 2024.

  2. พญาไท 3. บำบัดผิวด้วยการฉายแสง LED ดีอย่างไร เหมาะกับใคร ทำกี่ครั้งจึงเห็นผล?. phyathai.com. Published 23 May 2022. Retrieved 9 December 2024. 

  3. ภูริตา บุญล้อม. Red Light Therapy ทางเลือกใหม่เพื่อผิวสวยสุขภาพดี. thestandard.co. Published 25 June 2024. Retrieved 9 December 2024.

  4. Camille Noe Pagán and Leah Rosenbaum. Red Light Therapy: What Is It?. webmd.com. Published 14 May 2024. Retrieved 9 December 2024.